วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Week 9 : The 1975


      สวัสดีค่าาเพื่อนๆทุกคน กลับมาพบกับบรั้บบี้คิมคนเดิมอีกแล้วนะคะ อาทิตย์นี้ก็เป็นอาทิตย์สุดท้ายแล้วน้าา สำหรับวันนี้คิมก็จะพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับวงดนตรีแนวอินดี้ร็อคจากอังกฤษ " The 1975 " เพื่อนๆที่รู้จักวงนี้ก็จะรู้ดีว่า วงนี้มีแนวเพลงที่เป็นเอกลักษณ์และแนวสุดๆไปเลย สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ยังไม่รู้จัก วันนี้คิมจะพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับพวกเขากันค่ะ ไปกันเลยยยย

เดอะไนน์ทีนเซเวนตีไฟฟ์ (อังกฤษ: The 1975) เป็นกลุ่มดนตรีแนวอินดี้ร็อกจากอังกฤษ ก่อตั้งวงที่เมือง แมนเชสเตอร์ ประกอบด้วยสมาชิกคือ แมททิว ฮีลี่ย์ (ร้อง, กีตาร์), อดัม ฮันน์ (กีตาร์), จอร์จ เดเนียล (กลองชุด, ร้องประสาน) และรอสส์ มักโดนัลด์ (เบส).
วงออกผลงานอีพี 4 ชุด ส่วนอัลบั้มแรกของเขา 1975 ออกเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 2013 กับสังกัด Dirty Hit/Polydor อัลบั้มเปิดตัวนี้สามารถติดอันดับ 1 บนชาร์ตอัลบั้มแห่งสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 2013 ส่วนในปี 2014 The 1975 มีทัวร์ในต่างประเทศและยังได้ไปเล่นที่ Coachella festival. ด้วย

ก่อตั้งวง

แมททิว ฮีลี่ย์ (เกิด 8 เมษายน 1989) ลูกชายของนักแสดง Denise Welch และ Tim Healy โตในเมืองนิวคาสเซิลและเมืองแมนเชสเตอร์. ในช่วงที่กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น เขาได้พบกับรอส แมคโดนัลล์, อดัล ฮันน์ และ จอร์จ แดเนียล ที่วิล์มสโลว์ไฮสกูลใกล้กับเมืองแมนเชสเตอร์ และเริ่มเล่นเพลงในปี 2004. วงดนตรีได้ก่อตั้งเมื่อสภาท้องถิ่นได้จัดคอนเสิร์ตสำหรับวัยรุ่นขึ้นมา แมททิวได้พบกับอดัมคนที่เข้ามาหาเขาและบอกว่าอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงครั้งนี้ด้วย. วงได้เล่นเพลงคัพเวอร์ไปจนกระทั่ง"เริ่มเขียนเพลงเอง" อ้างอิงจากคำพูดของแมททิว "พวกเราเริ่มต้นกันมาตั้งแต่ตอนนั้นและทำเพลงด้วยกันมาตั้งแต่อายุ15ปี" หลังจากเดวิดเข้ามาในวงแล้ว ในช่วงแรกพวกเขาจะเน้นคัพเวอร์เพลงแนวพังค์และขึ้นแสดงในคลับของเมือง.  เดิมทีแมททิวเป็นมือกลองแต่นักร้องหลักของวงได้ลาออกไปตั้งวงใหม่ เขาจึงขึ้นเป็นนักร้องแทนและหลังจากนั้นเขาก็ได้จอร์จ แดเนียลมาเป็นมือกลองคนใหม่.







   เราไปดูผลงานบางส่วนของพวกเขากันดีกว่าค่ะ




                                                   The 1975 - Heart Out






                          The 1975 - Rather Be in the Live Lounge

         เพลง rather be เป็นเพลงของวง clean bandit ซึ่งวง The 1975 ก็ได้นำมา cover ใหม่ ที่เพิ่มความเป็นตัวของตัวเองเข้าไป จนแปลกไปจากเพลงต้นฉบับแบบสุดๆไปเลยค่ะ







ทีนี้เพื่อนๆคงรู้จักวง The 1975 มากขึ้นแล้วนะคะ คิมก็ขอฝากวงนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของเพื่อนๆด้วยนะคะ วันนี้คิมก็ขอลาไปก่อน สวัสดีค่ะ

อ้างอิง
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%8C

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week8: แนะนำการใช้งานโปรแกรม Shazam

เพื่อนๆเคยประสบปัญหา เวลาฟังเพลงเพราะๆ แต่ไม่รู้ชื่อเพลง อยากรู้ชื่อเพลง แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอไหมคะ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป แค่เราใช้แอพ ''shazam''
          เพื่อนๆคงอยากรู้แล้วใช่ไหมคะ ว่าแอพตัวนี้หน้าตาเป็นยังไงและมีวิธีการใช้งานยังไง เพราะฉะนั้นเราไปดูกันเลยค่ะ
  ก่อนอื่นเลยนะคะ เราต้องโหลดแอพนี้ก่อน เข้าไปที่แอพสโตร์ หรือ คนที่ใช้แอนดรอยด์ก็สามารถเข้าไปโหลดได้ค่ะ


หลังจากที่โหลดแอพนี้เสร็จแล้วนะคะ เราเข้าไปดูข้างในแอพกันเลยดีกว่าค่าา




นี่ก็คือหน้าแรกของแอพนะคะ 
หน้าแรกของแอปก็จะประกอบด้วยปุ่ม shazam เที่ยวไว้ค้นหาชื่อเพลงที่เราต้องการ และนอกจากนี้แล้วยังมีลำดับเพลงบอก ว่าตอนนี้กำลังมีเพลงอะไรที่กำลังฮอตฮิต



    ถ้าเพื่อนๆเจอเพลงที่ไม่รู้จัก แล้วอยากรู้จักชื่อเพลง เพื่อนๆสามารถกดปุ่มสีน้ำเงิน ที่มีสัญลักษณ์shazam ได้เลยค่ะ โปรแกรมจะทำการฟังและบอกชื่อเพลงให้กับเรา


ส่วนรายชื่อเพลงที่เราใช้แอพนี้ค้นหา เพื่อนๆไปไม่ต้องกลัวนะคะว่ามันจะหายไปไหนเพราะมันจะถูกเก็บรวบรวมใน my shazam ค่ะ



   นอกจากที่กล่าวมาแล้วนะคะแอพนี้ยังสามารถให้เราติดตามศิลปินที่เราชื่นชอบ โดยการกดปุ่ม follow และสามารถกดไลค์เพลงที่เราชื่นชอบได้อีกด้วยค่ะ



   และปุ่มสุดท้ายเลยนะคะ ''trending'' ในหน้านี้จะเป็นการรวบรวม บอกลำดับเพลงที่กำลังฮอตฮิต โดยจัดเป็นหมวดหมู่อย่างละเอียดเลยค่ะ 


นี่ก็เป็นการแนะนำการใช้แอพนี้อย่างคร่าวๆนะคะ ถ้าเพื่อนๆอยากจะ รู้จักแอปนี้มากขึ้นเพื่อนๆ อย่าลืมโหลดมาใช้กันนะคะ คิมคิดว่าเพื่อนๆควรจะมีแอพนี้ติดเครื่องไว้นะคะ เพราะปัญหาเวลาเราฟังเพลงแล้วอยากรู้ชื่อเพลงแต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจะหมดไปเลยค่ะ วันนี้คิมก็ขอลาไปก่อน ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนนะคะที่เข้ามาติดตามบล็อกของคิม ขอบคุณมากค่าาาาาา

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week 7 : คอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์

วันนี้เรามาทำความรู้จักกับคอมพิวเตอร์และเครือข่ายคอมพิวเตอร์กันดีกว่าค่ะ 

คอมพิวเตอร์ (อังกฤษcomputer) หรือในภาษาไทยว่า คณิตกรณ์[2][3] เป็นเครื่องจักรแบบสั่งการได้ที่ออกแบบมาเพื่อดำเนินการกับลำดับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์หรือคณิตศาสตร์ โดยอนุกรมนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพร้อม ส่งผลให้คอมพิวเตอร์สามารถแก้ปัญหาได้มากมาย
คอมพิวเตอร์ถูกประดิษฐ์ออกมาให้ประกอบไปด้วยความจำรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเก็บข้อมูล อย่างน้อยหนึ่งส่วนที่มีหน้าที่ดำเนินการคำนวณเกี่ยวกับตัวดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และตัวดำเนินการทางคณิตศาสตร์ และส่วนควบคุมที่ใช้เปลี่ยนแปลงลำดับของตัวดำเนินการโดยยึดสารสนเทศที่ถูกเก็บไว้เป็นหลัก อุปกรณ์เหล่านี้จะยอมให้นำเข้าข้อมูลจากแหล่งภายนอก และส่งผลจากการคำนวณตัวดำเนินการออกไป
หน่วยประมวลผลของคอมพิวเตอร์มีหน้าที่ดำเนินการกับคำสั่งต่าง ๆ ที่คอยสั่งให้อ่าน ประมวล และเก็บข้อมูลไว้ คำสั่งต่าง ๆ ที่มีเงื่อนไขจะแปลงชุดคำสั่งให้ระบบและสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ เป็นฟังก์ชันที่สถานะปัจจุบัน
คอมพิวเตอร์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกถูกพัฒนาขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 (ค.ศ. 1940 – ค.ศ. 1945) แรกเริ่มนั้น คอมพิวเตอร์มีขนาดเท่ากับห้องขนาดใหญ่ ซึ่งใช้พลังงานมากเท่ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) สมัยใหม่หลายร้อยเครื่องรวมกัน[4]
คอมพิวเตอร์ในสมัยใหม่นี้ผลิตขึ้นโดยใช้วงจรรวม หรือวงจรไอซี (Integrated circuit) โดยมีความจุมากกว่าสมัยก่อนล้านถึงพันล้านเท่า และขนาดของตัวเครื่องใช้พื้นที่เพียงเศษส่วนเล็กน้อยเท่านั้น คอมพิวเตอร์อย่างง่ายมีขนาดเล็กพอที่จะถูกบรรจุไว้ในอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์มือถือนี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขนาดเล็ก และหากจะมีคนพูดถึงคำว่า "คอมพิวเตอร์" มักจะหมายถึงคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของยุคสารสนเทศ อย่างไรก็ดี ยังมีคอมพิวเตอร์ชนิดฝังอีกมากมายที่พบได้ตั้งแต่ในเครื่องเล่นเอ็มพีสามจนถึงเครื่องบินบังคับและของเล่นชนิดต่าง ๆ จนถึงหุ่นยนต์อุตสาหกรรม







เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก (อังกฤษcomputer network; ศัพท์บัญญัติว่า ข่ายงานคอมพิวเตอร์) คือเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ การเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่างๆในเครือข่าย (โหนดเครือข่าย) จะใช้สื่อที่เป็นสายเคเบิลหรือสื่อไร้สาย เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่รู้จักกันดีคือ อินเทอร์เน็ต
การที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกัน เพื่อเพิ่มความสามารถของระบบให้สูงขึ้น และลดต้นทุนของระบบโดยรวมลง
การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกันในเครือข่าย ทำให้ระบบมีขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้น การแบ่งการใช้ทรัพยากร เช่น หน่วยประมวลผลหน่วยความจำหน่วยจัดเก็บข้อมูลโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีราคาแพงและไม่สามารถจัดหามาให้ทุกคนได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดภาพ (scanner) ทำให้ลดต้นทุนของระบบลงได้
อุปกรณ์เครือข่ายที่สร้างข้อมูล, ส่งมาตามเส้นทางและบรรจบข้อมูลจะเรียกว่าโหนดเครือข่าย. โหนดประกอบด้วยโฮสต์เช่นเซิร์ฟเวอร์, คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและฮาร์ดแวร์ของระบบเครือข่าย อุปกรณ์สองตัวจะกล่าวว่าเป็นเครือข่ายได้ก็ต่อเมื่อกระบวนการในเครื่องหนึ่งสามารถที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกระบวนการในอีกอุปกรณ์หนึ่งได้
เครือข่ายจะสนับสนุนแอปพลิเคชันเช่นการเข้าถึงเวิลด์ไวด์เว็บ, การใช้งานร่วมกันของแอปพลิเคชัน, การใช้เซิร์ฟเวอร์สำหรับเก็บข้อมูลร่วมกัน, การใช้เครื่องพิมพ์และเครื่องแฟ็กซ์ร่วมกันและการใช้อีเมลและโปรแกรมส่งข้อความโต้ตอบแบบทันทีร่วมกัน



ขอบคุณ ที่มา
https://th.m.wikipedia.org/wiki/คอมพิวเตอร์
https://th.m.wikipedia.org/wiki/เครือข่ายคอมพิวเตอร์

วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Week6 : วิเคราะห์ข้อสอบ O-NET วิชาคอมพิวเตอร์ 5 ข้อ

1.ข้อใดไม่ใช่ระบบปฏิบัติการที่นำมาใช้บนอุปกรณ์พกพาประเภท  Smartphone.
1.  Ubumtu       2.  Iphone  os
3.  Android      4.  Symbian
เฉลยข้อ  1
อูบุนตู (Ubuntu) เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่เป็นระบบปฏิบัติการแบบเปิดซึ่งมีพื้นฐานบนลินุกซ์ดิสทริบิวชันที่พัฒนาต่อมาจากเดเบียนการพัฒนาสนับสนุนโดยบริษัท Canonical Ltdซึ่งเป็นบริษัทของนายมาร์ก ชัทเทิลเวิร์ธ ชื่อของดิสทริบิวชันนั้นมาจากคำในภาษาซูลู และภาษาโคซา(ภาษาในแอฟริกาใต้) ว่า Ubuntu ซึ่งมีความหมายในภาษาอังกฤษคือ "humanity towards others"


2.ไฟล์ประเภทใดในข้อต่อไปนี้เก็บข้อมูลในลักษณะตัวอักษร.
1.  ไฟล์เพลง  MP 3 (mp 3)
2.  ไฟล์รูปประเภท  JPEG (jpeg)
3.  ไฟล์แสดงผลหน้าเว็บ (html)
4.  ไฟล์วีดีโอประเภท  Movie (movie)
เฉลยข้อ  3

HTML คือ ภาษาหลักที่ใช้ในการเขียนเว็บเพจ โดยใช้ Tag ในการกำหนดการแสดงผล HTML ย่อมาจากคำว่า Hypertext Markup Language โดย Hypertext หมายถึง ข้อความที่เชื่อมต่อกันผ่านลิ้ง (Hyperlink) Markup language หมายถึงภาษาที่ใช้ Tag ในการกำหนดการแสดงผลสิ่งต่างๆที่แสดงอยู่บนเว็บเพจ ดังนั้น HTML จึงหมายถึง ภาษาที่ใช้ Tag ในการกำหนดการแสดงผลเว็บเพจที่ต่างก็เชื่อมถึงกันใน Hyperspace ผ่าน Hyperlink นั่นเอง 

3.ลิขสิทธิ์โปรแกรมประเภทรหัสเปิด(Open Source)อนุญาตให้ผู้ใช้ทำอะไรได้บ้าง.
ก.  นำโปรแกรมมาใช้งานโดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์
ข.  ทดลองใช้โปรแกรมก่อนถ้าพอใจจึงจ่ายค่าลิขสิทธิ์
ค.  แก้ไขปรับปรุงโปรแกรมเองได้

1.  ข้อ  ก กับ  ข้อ  ค      2.  ข้อ  ข  กับ  ข้อ  ค
3.  ข้อ  ข  อย่างเดียว     4.  ข้อ  ก  อย่างเดียว
เฉลยข้อ  1

     Open Source คือ ตัวโปรแกรม ซอฟต์แวร์ ที่เกี่ยวกับ การออกแบบและพัฒนา วัตถุประสงค์หลักคือ เป็นตัวโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้นำไปใช้งานและอาจพัฒนาตัวโปรแกรมต่อได้ ส่วนใหญ่ Open Source จะเป็นโปรแกรมที่แจกฟรี จึงกลายเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายและรวดเร็วสำหรับในบ้านเรา ที่นิยมใช้งาน 
     Open Source นั้น มีตั้งแต่เว็บในกลุ่มที่จัดทำโดยบุคคล เช่นพวก เว็บแฟนคลับ เว็บ community ต่างๆ 
ไปจนถึงเว็บในรูปแบบบริษัท องค์กร ห้างร้าน ส่วนตัวโปรแกรม Open Source ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ 
Joomla ต่างๆ Word Press Drupal PHP nuke SMF PHPbb เป็นต้นค่ะ




4.อุปกรณ์ข้อใดคือหน่วยประเมินผลกลางของคอมพิวเตอร์
.เฉลย  CPU
CPU หรือ Central Processing Unit คือหัวใจหลักในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์จึงขาดซีพียูไม่ได้ ซีพียู เป็นตัวควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ต่อพ่วงที่ต่อร่วมกับคอมพิวเตอร์

5.ห้องสมุดแห่งหนึ่งต้องการพัมนาระบบยืมหนังสือโดยสามารถ
บันทึกข้อมูลการยืมหนังสือลงบนบัตรอิเลคโทรนิกส์โดยไม่ต้อง
เขียนด้วยมือระบบนี้ควรใช้เทคโนโลยีในข้อใด.
1.  Smart  Card          2.  Fingerprint

3. Barcode.                 4.  WiFi
เฉลยข้อ  3
(
bar code) เป็นหนึ่งในหลายวิธีที่ได้ผลดี ในการตรวจสอบสินค้าขณะขาย, การตรวจสอบยอดการขาย และสินค้าคงคลัง เราสามารถที่จะอ่านบาร์โค้ดได้ โดยใช้เครื่องสแกนเนอร์ ( barcode scanner ) หรือเครื่องอ่านบาร์โค้ด ซึ่งวิธีนี้จะรวดเร็วกว่าการป้อนข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ( Computer ) โดยเปลี่ยนเป็นวิธีการยิงเลเซอร์ไปยังแท่งบาร์โค้ด โดยเครื่องสแกนจะทำหน้าที่เป็นฮาร์ดแวร์ ( hardware ) ส่งข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันมีการประยุกต์การใช้งานบาร์โค้ดเข้ากับการใช้งานของMobile Computer ซึ่งสามารถพกพาได้สะดวก เพื่อทำการจัดเก็บ แสดงผล ตรวจสอบ และประมวลในด้านอื่นๆ หรือบางครั้งสามารถอ่านด้วยสายตา เช่น ตัวเลขที่พ่วงกับแท่งบาร์โค้ดบางครั้งจะอยู่ด้านบน หรือ ด้านล่าง (แต่สายตาไม่สามารถอ่านแท่งบาร์โค้ดได้)












วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week 5 :10 เทคนิคเรียนให้เป็นคนเก่ง

            สวัสดีค่าาเพื่อนทุกคน กลับมาพบกับบรั้บบี้คิมเช่นเคยค่ะ เพื่อนๆหลายคนอาจกำลังเครียดว่าทำไมตัวเองถึงเรียนไม่เก่งเหมือนเพื่อนคนอื่น สอบทีไรก็ตก เรียนก็ไม่รู้เรื่อง บางที่เราอาจมีวิธีการเรียนที่ไม่ถูกต้อง เพื่อนๆไม่ต้องเครียดหรือน้อยใจไปค่ะ วันนี้คิมมี 10 เทคนิคเรียนให้เป็นคนเก่ง คิมเชื่อว่าถ้าเพื่อนๆทำตาม เกรด 4 อยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือค่ะ 10 เทคนิคที่ว่านั้นจะมีอะไรบ้าง เราไปดูกันเลยค่ะะ

                             



         10 เทคนิคเรียน ให้เป็นคนเรียนเก่ง
ทคนิคเรียน : 1. คนเรียนเก่ง แบ่งเวลาเป็น

เคล็ดลับข้อแรก ถึงแม้ว่าเราจะชอบเล่นเกมส์ อ่านการ์ตูน เล่นกีฬา ดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง ฯลฯ ขอแค่เราแบ่งเวลาให้เป็น เวลาไหนเล่นก็เล่น เวลาไหนเรียนก็เรียน จะเล่นวันละกี่ชั่วโมงก็ได้ แต่ขอเจียดเวลามาเรียนนอกเหนือจากในห้องเรียนสักวันละ 30 นาที ? 1 ชั่วโมงก็พอแล้ว (เสาร์-อาทิตย์ไม่ต้องก็ได้) ทำง่ายๆแต่ได้ผลชงัดนัก

เทคนิคเรียน : 2. คนเรียนเก่ง ทบทวนล่วงหน้า-หลังเรียน เข้าหัวไม่ต้องจำ

เชื่อว่าข้อนี้ถูกใจคนขี้เกียจจำไม่น้อย (นายติวฟรีเองก็ด้วย หึหึ) เคล็ดลับง่ายๆ อ่านล่วงหน้าก่อนเข้าห้องเรียนสัก 10-15 นาที อ่านผ่านๆแค่หัวข้อก็พอว่าวันนี้เราจะเรียนอะไรบ้าง พอตกเย็น ก็อ่านทบทวนผ่านๆอีกรอบว่าวันนี้เราเรียนอะไรไป วันต่อวัน มันจะเข้าไปอยู่ในหัวเองไม่ต้องออกแรงจำให้เมื่อย แถมทำบ่อยๆมันจะประติดประต่อกันเองทั้งเทอม โอ้ สบายเลย

เทคนิคเรียน : 3. คนเรียนเก่ง ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง

แม้หลายๆคนจะรู้อยู่ว่าดินพอกหางหมูไม่ดี แต่ก็เชื่อว่าทุกๆคนก็เคย หรือยังมีดินพอกหางหมูอยู่ทั้งนั้น นายติวฟรีเองเคยพอกนานถึงสองเดือนด้วยซ้ำ มันลำบากมากที่ต้องมาตามแก้ดินพอกหางหมู บางครั้งใช้เวลามากกว่าเดิม 3 เท่าบ้าง 4 เท่าบ้าง รู้งี้ทำซะเลยไม่ปล่อยให้พอกก็ดีหรอก T_T

เทคนิคเรียน : 4. คนเรียนเก่ง ไม่เรียนอัดก่อนสอบ

ข้อนี้ตามสองข้อที่แล้วมาติดๆ ถ้าน้องปล่อยพอกไว้ตั้งแต่ต้นเทอม ยันปลายเทอม แล้วมาอัดอ่านทีเดียวก่อนสอบ มันจะไม่ทันเอา หลายเรื่อง หลายวิชา ถ้าใครเคยเรียนอัดก่อนสอบคงรู้ดี (นายติวฟรีก็เคยทำ) ว่า อ่านบทแรกก็ยังโออยู่ แต่พออ่านบทสอง ดั๊นลืมบทแรก พออ่านบทสาม ดั๊นลืมบทสอง ฯลฯ แบบนี้เรียกว่า ได้หน้าลืมหลัง มาดูตัวอย่างสดๆกันตรงนี้เลย นายติวฟรีถามว่า เคล็ดลับข้อแรกคืออะไร (ห้ามย้อนกลับไปอ่านนะ) เชื่อว่าตอบไม่ได้กันเกินครึ่ง อิอิ จริงๆแล้วมันมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนอยู่นะว่า สมองของคนเรา จะสามารถจดจำเรื่องราวต่างๆได้ดีโดยค่อยๆจดค่อยๆจำสะสมไปเรื่อยๆ ถ้ามาพยามจดจำในระยะเวลาสั้นๆมันจะไม่เข้าหัว ขนาดไอน์สไตน์ฉลาดเป็นกรด ก็ยังจำเยอะๆในเวลาสั้นๆไม่ไหวเลย

เทคนิคเรียน : 5. คนเรียนเก่ง ลงมือทำโจทย์ แบบฝึกหัด การบ้าน

น้องๆหลายคนมองข้ามการทำโจทย์และแบบฝึกหัดต่างๆไปโดยสิ้นเชิง แล้วกลับไปให้ความสำคัญกับการเรียนเนื้อหา หรือทฤษฎีต่างๆ หลายๆคนหนักข้อ แบบฝึกหัดข้อแรกที่ได้ทำคือในห้องสอบนั่นเอง แล้วมันจะทำได้ยังไง T_T พอออกมาจากห้องสอบก็น้ำตาตกในทำไม่เป็น นักฟุตบอลเก่งๆอย่างเมสซี่ เขามีความลับในความเก่งซ่อนอยู่ นั่นคือ เขาใช้เวลาเรียนทฤษฎีนิดเดียว เอาให้ได้ครบสักรอบสองรอบก็พอ แล้วใช้เวลาที่เหลือไปทุ่มเทให้กับการซ้อมในสนาม (ทำแบบฝีกหัด) อย่างหนักทุกวันๆ ถ้าอยากเรียนเก่งเหมือนเมสซี่เล่นบอลเก่ง เราก็ต้องขยันทำแบบฝึกหัดเยอะๆเข้าไว้ ^^

เทคนิคเรียน : 6. คนเรียนเก่ง ทำ mindmap เรียนรู้จากภาพใหญ่ไปภาพเล็ก

มันจะง่ายกว่าเยอะมากถ้าเรามองความสัมพันธ์ของเนื้อหาทั้งหมดโดยรวม ว่ามันเกี่ยวข้องกับอะไร แล้วมีหัวข้ออะไรบ้าง แต่ละหัวข้อเกี่ยวข้องกันอย่างไร อย่างการทำ mindmap นั้นช่วยได้มากๆ ที่สำคัญทำง่ายด้วย ไม่ต้องคิดว่ามันเป็นเรื่องยาก แค่มีกระดาษกะปากกา ก็สามารถทำเองได้แล้ว

เทคนิคเรียน : 7. คนเรียนเก่ง ทำสรุป/ช้อตโน้ตด้วยตัวเอง

การทำสรุปหรือช้อตโน้ตจะเป็นเสมือนการทบทวนและสรุปเนื้อหาด้วยตัวเอง น้องๆจะมีสรุปของเพื่อนที่เก่งๆก็ได้ แต่สำคัญคือ ให้ทำเวอร์ชันของตัวเองด้วย (เขียนสรุปจากสรุปของเพื่อนก็ได้นะ) แค่การทำก็เหมือนว่าได้ทบทวนไปแล้วรอบนึง ที่สำคัญคือ เมื่อตัวเองมาอ่านสรุปของตัวเองแล้วนั้น มันจะจำได้ชัดเจนมากกว่าการอ่านสรุปของคนอื่นมากๆ ยิ่งถ้าเขียนสรุปด้วยปากกาหลายสี วาดรุปน่ารักๆลงไป บางครั้งในห้องสอบ จำได้ด้วยแน่ะ ว่าตรงนี้เราสรุปด้วยปากกาสีอะไร วาดรูปอะไรลงไป

เทคนิคเรียน : 8. คนเรียนเก่ง ติวเป็นกลุ่มกับเพื่อน ผลัดกันถาม ผลัดกันตอบ

การอ่านคนเดียวบางครั้งเราก็มองข้ามเรื่องสำคัญบางเรื่องไป การจับกลุ่มกะเพื่อน ติว หรือผลัดกันถามตอบ ก่อนสอบ จะทำให้เราได้ในส่วนที่เรามองข้ามไป ถึงบางอ้อหลายจุด บางครั้งการจับกลุ่มถามตอบก่อนเข้าห้องสอบไม่กี่ชั่วโมงก็ทำให้เราจำอะไรดีๆได้มากกว่าที่คิดอีกนะ

เทคนิคเรียน : 9. มั่นใจในตัวเอง อย่าคิดว่าตัวเองไม่เก่งเรียนยังไงก็ไม่ได้

ข้อห้ามที่สำคัญมากๆ ห้ามคิดว่าตัวเองไม่เก่งแล้วไม่สามารถทำได้เด็ดขาด เด็กไม่เก่งก็มีวิธีเรียนดีของเด็กไม่เก่งเหมือนกัน ท้อได้แต่ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด!

เทคนิคเรียน : 10. คนเรียนเก่ง ดูแลตัวเอง กินให้พอ นอนให้พอ

หลายๆคนคิดว่า นี่คือเคล็ดลับตรงไหนเนี่ย แต่ที่จริงแล้ว มันเป็นสุดยอดเคล็ดลับ ที่ทำให้น้องเก่งจากภายใน ร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ กินอิ่มนอนหลับ จะส่งผลให้ สมองปลอดโปร่งตามไปด้วย พอสมองปลอดโปร่ง จะแล่นมาก จำอะไรได้ง่ายกว่า เร็วกว่า เยอะกว่า ไม่ลองไม่รู้นะเออ

อ้างอิง tewfree.com


วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

week 4 : โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์

      สวัสดีค่าาา วันนี้คิมจะมาพูดเรื่องโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ค่ะ แต่ก่อนที่เราจะไปทำรู้จักกับโปรแกรมต่างๆ เราไปดูกันก่อนดีกว่าว่า ภาษาคอมพิวเตอร์คืออะไร

ภาษาคอมพิวเตอร์ หมายถึง ภาษาใดๆ ที่ผู้ใช้งานใช้สื่อสารกับคอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ด้วยกัน แล้วคอมพิวเตอร์สามารถทำงานตามคำสั่งนั้นได้ คำนี้มักใช้เรียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความเป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหนึ่งของภาษาคอมพิวเตอร์เท่านั้น และมีภาษาอื่นๆ ที่เป็นภาษาคอมพิวเตอร์เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น HTML เป็นทั้งภาษามาร์กอัปและภาษาคอมพิวเตอร์ด้วย แม้ว่ามันจะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเครื่องนั้นก็นับเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งโดยทางเทคนิคสามารถใช้ในการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จัดว่าเป็นภาษาโปรแกรม
ภาษาคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือภาษาระดับสูง (high level) และภาษาระดับต่ำ(low level) ภาษาระดับสูงถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบายมากกว่าภาษาระดับต่ำ โปรแกรมที่เขียนถูกต้องตามกฎเกณฑ์และไวยากรณ์ของภาษาจะถูกแปล (compile) ไปเป็นภาษาระดับต่ำเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถนำไปใช้งานหรือปฏิบัติตามคำสั่งได้ต่อไป ซอฟต์แวร์สมัยใหม่ส่วนมากเขียนด้วยภาษาระดับสูง แปลไปเป็นออบเจกต์โค้ด (object code) แล้วเปลี่ยนให้เป็นชุดคำสั่งในภาษาเครื่อง
ภาษาคอมพิวเตอร์อาจแบ่งกลุ่มได้เป็นอีกสองประเภทคือ ภาษาที่มนุษย์อ่านออก (human-readable) และภาษาที่มนุษย์อ่านไม่ออก (non human-readable) ภาษาที่มนุษย์อ่านออกถูกออกแบบมาเพื่อให้มนุษย์สามารถเข้าใจและสื่อสารได้โดยตรงกับคอมพิวเตอร์ ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ) ส่วนภาษาที่มนุษย์อ่านไม่ออกจะมีโค้ดบางส่วนที่ไม่อาจอ่านเข้าใจได้
1.ภาษาซี (C Language)





  ก่อนรู้จักภาษาซี มาดูที่ภาษาแอสเซมบลี (Assembly language)ก่อน
............เป็นภาษาที่ใช้สัญลักษณ์ข้อความ แทนกลุ่มของตัวเลขฐานสอง เพื่อให้ง่ายต่อการเขียนและการจดจำมากขึ้น การทำงานของโปรแกรมจะต้องทำการแปลภาษาแอสเซมบลีให้เป็นภาษาเครื่อง โดยใช้ตัวแปลที่เรียกว่า แอสเซมเบลอร์ (Assembler)......





        ภาษาซี เป็นภาษาที่นิยมใช้ในการเขียนโปรแกรมมาก เป็นภาษาระดับสูงที่มีประสิทธิภาพในการทำงานใกล้เคียงกับภาษาแอสแซมเบลอร์
       เริ่มแรกการพัฒนาภาษาซีใช้เพื่อเขียนซอฟต์แวร์ระบบ แต่ปัจจุบัน สามารถใช้ในงานด้านต่าง ๆ มากมาย เช่น ระบบการจัดการฐานข้อมูล โปรแกรมทางธุรกิจ โปรแกรมสำเร็จรูป และสามารถสร้างกราฟิกได้
        ข้อดีของภาษานี้ คือ ทำงานได้เร็วมากเมื่อเทียบกับภาษาอื่นๆ สามารถทำงานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างประเภท โดยมีการคอมไพล์ใหม่ แต่ไม่ต้องแก้ไขโปรแกรมอย่างใด ส่วน ข้อเสีย คือ ยากที่จะเรียนรู้มากกว่าภาษาอื่น เนื่องจากลักษณะคำสั่งไม่มีรูปแบบที่แน่นอน และ ตรวจสอบโปรแกรมได้ยาก ไม่เหมาะจะใช้สร้างโปรแกรมที่ต้องมีการออกรายงานที่มีรูปแบบที่ ซับซ้อนมาก ๆ



2.ภาษาc++



          ภาษาซี C++ เป็นภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์อเนกประสงค์ มีโครงสร้างภาษาที่มีการจัดชนิดข้อมูลแบบสแตติก  และสนับสนุนรูปแบบการเขียนโปรแกรมที่หลากหลาย (multi-paradigm language) ได้แก่ การโปรแกรมเชิงกระบวนคำสั่ง, การนิยามข้อมูล, การโปรแกรมเชิงวัตถุ, และการโปรแกรมแบบเจเนริก (generic programming)
          ภาษาซีพลัสพลัสได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นภาษาสำหรับการเขียนโปรแกรมทั่วไป สามารถรองรับการเขียนโปรแกรมในระดับภาษาเครื่องได้ เช่นเดียวกับภาษาซี  
          ภาษาซีพลัสพลัสควรจะมีความเร็วเทียบเท่าภาษาซี แต่ในการเขียนโปรแกรมจริงนั้น ภาษาซีพลัสพลัสเป็นภาษาที่มีการเปิดกว้างให้โปรแกรมเมอร์เลือกรูปแบบการเขียนโปรแกรม ซึ่งทำให้มีแนวโน้มที่โปรแกรมเมอร์อาจใช้รูปแบบที่ไม่เหมาะสม ทำให้โปรแกรมที่เขียนมีประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และภาษาซีพลัสพลัสนั้นเป็นภาษาที่มีความซับซ้อนมากกว่าภาษาซี จึงทำให้มีโอกาสเกิดบั๊กขณะคอมไพล์มากกว่า
          ภาษาซีพลัสพลัสเข้ากันได้กับภาษาซีในเกือบทุกกรณี มาตรฐานของภาษาซีพลัสพลัส ถูกออกแบบมาเพื่อไม่ให้มีการเจาะจงแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์
          ภาษาซีพลัสพลัสรองรับรูปแบบการเขียนโปรแกรมที่หลากหลาย (multi-paradigm)
           
3.  Java 
     Java หรือ Java programming language คือภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุ พัฒนาโดย เจมส์ กอสลิง และวิศวกรคนอื่นๆ ที่บริษัท ซัน ไมโครซิสเต็มส์ ภาษานี้มีจุดประสงค์เพื่อใช้แทนภาษาซีพลัสพลัส C++ โดยรูปแบบที่เพิ่มเติมขึ้นคล้ายกับภาษาอ็อบเจกต์ทีฟซี (Objective-C) แต่เดิมภาษานี้เรียกว่า ภาษาโอ๊ก (Oak) ซึ่งตั้งชื่อตามต้นโอ๊กใกล้ที่ทำงานของ เจมส์ กอสลิง แล้วภายหลังจึงเปลี่ยนไปใช้ชื่อ "จาวา" ซึ่งเป็นชื่อกาแฟแทน จุดเด่นของภาษา Java อยู่ที่ผู้เขียนโปรแกรมสามารถใช้หลักการของ Object-Oriented Programming มาพัฒนาโปรแกรมของตนด้วย Java ได้ 
     ภาษา Java เป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ ( OOP : Object-Oriented Programming) โปรแกรมที่เขียนขึ้นถูกสร้างภายในคลาส ดังนั้นคลาสคือที่เก็บเมทอด (Method) หรือพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งมีสถานะ (State) และรูปพรรณ (Identity) ประจำพฤติกรรม (Behavior)
Java คืออะไร จาวา คือภาษาคอมพิวเตอร์ สำหรับเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ
     ข้อดีของ ภาษา Java
     -  ภาษา Java เป็นภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์ ซึ่งเหมาะสำหรับพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน การพัฒนาโปรแกรมแบบวัตถุจะช่วยให้เราสามารถใช้คำหรือชื่อ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในระบบงานนั้นมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
     -  โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Java จะมีความสามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ไม่จําเป็นต้องดัดแปลงแก้ไขโปรแกรม เช่น หากเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Sun โปรแกรมนั้นก็สามารถถูก compile และ run บนเครื่องพีซีธรรมดาได้
     -ภาษาจาวามีการตรวจสอบข้อผิดพลาดทั้งตอน compile time และ runtime ทำให้ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโปรแกรม และช่วยให้ debug โปรแกรมได้ง่าย
     - ภาษาจาวามีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C++ เมื่อเปรียบเทียบ code ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษา Java กับ C++ พบว่า โปรแกรมที่เขียนโดยภาษา Java จะมีจํานวน code น้อยกว่าโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C++ ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น
     -  ภาษาจาวาถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่แรก ทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยจาวามีความปลอดภัยมากกว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้น ด้วยภาษาอื่น เพราะ Java มี security ทั้ง low level และ high level ได้แก่ electronic signature, public andprivate key management, access control และ certificatesของ
     -มี IDE, application server, และ library ต่าง ๆ มากมายสำหรับจาวาที่เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการซื้อ tool และ s/w ต่าง ๆ
    ข้อเสียของ ภาษา Java
    -ทำงานได้ช้ากว่า native code (โปรแกรมที่ compile ให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่อง) หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น อย่างเช่น C หรือ C++ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาจะถูกแปลงเป็นภาษากลาง ก่อน แล้วเมื่อโปรแกรมทำงานคำสั่งของภาษากลางนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเครื่องอีก ทีหนึ่ง ทีล่ะคำสั่ง (หรือกลุ่มของคำสั่ง) ณ runtime ทำให้ทำงานช้ากว่า native code ซึ่งอยู่ในรูปของภาษาเครื่องแล้วตั้งแต่ compile  โปรแกรมที่ต้องการความเร็วในการทำงานจึงไม่นิยมเขียนด้วยจาวา
    -tool ที่มีในการใช้พัฒนาโปรแกรมจาวามักไม่ค่อยเก่ง ทำให้หลายอย่างโปรแกรมเมอร์จะต้องเป็นคนทำเอง ทำให้ต้องเสียเวลาทำงานในส่วนที่ tool ทำไม่ได้ ถ้าเราดู tool ของ MS จะใช้งานได้ง่ายกว่า และพัฒนาได้เร็วกว่า (แต่เราต้องซื้อ tool ของ MS และก็ต้องรันบน platform ของ MS)


ข้อมูลอ้างอิง
http://th.wikipedia.org
http://www.jhelp.net
http://happyeverytime.exteen.com

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

week 3: Social Network เกี่ยวข้องกับเรา และสังคมอย่างไร

       สวัสดีค่าา 🙏 กลับมาพบกันอีกแล้วนะคะ วันนี้คิมจะมาพูดถึงหัวข้อ Social Network เกี่ยวข้องกับเรา และสังคมอย่างไร แต่ก่อนอื่นเราไปรู้ความหมายของ Social Network กันก่อนดีกว่าค่ะ
       
      💡Social Network คืออะไร💡
โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network คือเครือข่ายสังคมออนไลน์  หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกนับร้อย  ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) บนอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook, Blogger, Hi5, Twitter หรือ Tagged เป็นต้น (บางเว็บไซต์ที่กล่าวถึงในตัวอย่าง ปัจจุบันนี้ได้เสื่อมความนิยมแล้ว)  การเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้เกิดเครือข่ายขึ้น เช่น เราสามารถรู้จักเพื่อนของเพื่อนเราได้  เป็นทอดๆ ต่อไปเรื่อย  ทำให้เกิดสังคมเสมือนจริงขึ้นมา  สามารถสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ได้ง่าย  และเมื่อเราแชร์ (Share) ข้อความหรืออะไรก็ตามลงไปในเครือข่าย  ทุกคนในเครือข่ายก็สามารถรับรู้ได้พร้อมกัน  และสามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เราแชร์ได้  เช่น  แสดงความคิดเห็น (Comment)  กดไลค์ (Like) ซึ่งอาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละผู้ให้บริการ  ความโดดเด่นในเรื่องความง่ายของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ทำให้ธุรกิจ และนักการตลาดสนใจที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์สินค้า และบริการ
 
     เพื่อนๆก็คงรู้แล้วใช่มั้ยคะ ว่าโซเชียลเน็ตเวิร์ค  นั้นคืออะไร ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า โซเชียลเน็ตเวิร์ค มีความเกี่ยวข้องกับเราและสังคมอย่างไร
      เนื่องจากการใช้งานอินเตอร์เนตที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายมากและการใช้งานอีเมล์ในการรับส่งข้อมูลกันอย่างแพร่หลายเพิ่มมากยิ่งขึ้นทำให้เกิดการสร้างกลุ่มของคนที่สนใจในเรื่องๆเดียวกันได้เริ่มมีการสร้างเวปไซต์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่มขึ้นมา

              ในส่วนของ Social network ได้เกิดขึ้นจากการสร้างเวปไซต์ของนักเรียนที่เรียนที่เดียวกัน หรืออาจจะเรียกง่ายๆว่าเป็นเวปไซต์ของนักเรียนรุ่นหนึ่ง ซึ่งมีเพื่อสร้างประวัติ ข้อมูล ติดต่อสื่อสาร ส่งข้อความ และแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สนใจร่วมกันระหว่างเพื่อนในลิสต์เท่านั้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของ Social network ซึ่งจากจุดเริ่มต้นเมื่อปี1995 นั้น ทำให้เกิดการพัฒนาเวปไซต์ประเภท Social network อย่างรวดเร็ว อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เวปไซต์ประเภท Social network เติบโตอย่างรวดเร็วคือการนำเอารายชื่ออีเมล์ของบุคคลที่เราติดต่อในอีเมล์ส่วนตัวของเรานำไปค้นหาว่ามีใครใช้เวปไซต์ประเภท Social network นั้นหรือไม่ ถ้ามีก็สามารถเพิ่มเพื่อนหรือแอดเข้าไปขอเป็นเพื่อนได้อย่างง่ายดาย

            ประเทศไทยได้มีการเริ่มเข้ามาของเวปไซต์ประเภท Social network โดยทุกคนอาจจะเคยจำได้ว่า www.hi5.com เป็นเวปไซต์ประเภท Social network ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยสูงมาก ซึ่งในช่วงต้นนั้น hi5 ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่มีความรู้ภาษาอังกฤษเท่านั้นเนื่องจากในช่วงนั้นทาง hi5 มีเมนูเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น ซึ่งต่อมาhi5ได้มีการพัฒนาให้มีเมนูภาษาไทยขึ้นมา ทำให้ hi5 ได้รับความนิยมสูงมากในประเทศไทย มีผู้ใช้เป็นจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคนในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ซึ่งในยุคนั้นทุกคนก็ให้ความสำคัญกับเวปไซต์ดังกล่าวค่อนข้างมากเพราะหลังจากการได้รับความนิยมที่สูงทำให้เกิดการนำเอา hi5 มาใช้ในการทำผิดกฏหมายในรูปแบบต่างๆ อย่างเช่นที่ปรากฏในข่าว รวบพระขอนแก่นหื่น แชท hi5 ลวงสาวข่มขืน พระหนึ่งให้การรับสารภาพว่า ได้เข้าไปเล่นอินเตอร์เน็ตในโปรแกรม hi5 ก่อนที่จะรู้จัก น.ส.น้ำ ซึ่งเป็นชาว จ.ชัยภูมิ มานานกว่า 2 สัปดาห์ จึงนัดกันมาพบที่ จ.ขอนแก่น และนำเข้าพักภายในวัดก่อนที่จะลงมือข่มขืน จนมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวจับกุมตัว ซึ่งในประเทศไทยมีความทรงจำเกี่ยวกับอิทธิพลของ Social network ที่มีชื่อว่า HI5 มาแล้วทุกคนอาจจะลืมไปแล้วว่าHI5ทำให้เกิดปัญหาในสังคมไทยอย่างมากมาย แล้วทุกคนก็มาบอกว่า Facebook กำลังจะบ่อนทำลายสังคมไทย ทั้งที่ทุกคนก็เคยมีประสบการณ์จากในอดีตมาแล้ว แต่สังคมไทยก็ไม่มีการเรียนรู้จากปัญหาที่เคยเกิดขึ้น แต่กลับมากล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่จาก Facebook

            ต่อมาหลังจากการที่กระแสของhi5เริ่มลดลงทำให้กลุ่มผู้ใช้งานเวปไซต์ดังกล่าวได้เปลี่ยนไปใช้งานเวปไซต์www.Facebook.com ซึ่งการเข้ามาของ Facebook ในประเทศไทยเมื่อปี 2006 นั้นเริ่มมีการแพร่หลายในกลุ่มของนักศึกษาที่เรียนอยู่ในต่างประเทศ และเริ่มขยายตัวเข้ามาในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่มีความรู้ภาษาอังกฤษเท่านั้นเนื่องจากในช่วงนั้นทาง Facebook มีเมนูเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ความแตกต่างที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ Facebook มีแอปพิเคชั่นที่หลากหลายมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ hi5 ซึ่ง แอปพิเคชั่นที่หลากหลายอาทิเช่นเกมที่มีให้เลือกเล่นมากกว่า หนึ่งร้อยเกม ซึ่งในปัจจุบันเกมที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น Framville ที่สมาชิกของFacebookเรียกกันเป็นภาษาไทยว่า เกมปลูกผัก หรือเกม Café world ที่ได้รับความนิยมสูงมาก ในส่วนของแอปพิเคชั่นที่มีชื่อว่า friend for sale ที่สามารถซื้อเพื่อนของตนเองมาไว้กับตนเองและสามารถสั่งให้ไปทำงานตามที่สั่งได้อย่างเช่นสั่งให้ไปล้างห้องน้ำ ให้ไปแกล้งบุคคลอื่น ยังไม่รวมไปถึงการสนทนาส่วนตัวใน Facebook ที่มีการแชทกันได้ใน Facebook

           Facebook เป็นเว็บไซต์เครือข่ายสังคมเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2004 และ Facebook ก่อตั้งโดย Mark Zuckerberg ผู้ใช้สามารถเพิ่มคนเป็นเพื่อนและส่งข้อความและ update โปรไฟล์ส่วนตัวของพวกเขาเพื่อแจ้งเพื่อน ๆ เกี่ยวกับตัวเอง นอกจากนี้ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมเครือข่าย Facebook ได้พบกับการถูกบล็อกในหลายประเทศรวมทั้งปากีสถาน ซีเรีย จีน เวียดนาม และอิหร่าน Facebook ได้รับการห้ามใช้สถานที่ทำงานเพื่อเป็นการไม่ให้พนักงานสูญเสียเวลาในการทำงาน Facebook ความเป็นส่วนตัวยังเป็นปัญหาและได้รับการโจมตีหลายครั้ง ด้วยระยะเวลาเพียง 6 ปี เว็บไซต์นี้ในปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 400 ล้านทั่วโลก จากการเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ใช้งาน Facebook ทำให้เกิดปัญหากับสังคมที่มากขึ้นตามจำนวนของผู้ใช้งาน

          Facebookยังกลายเป็นที่มาของการ เกลียดชัง ทะเลาะเบาะแว้งระหว่างคู่สมรสกันบ่อยครั้งมาก และหลายๆ กรณีก็กลายเป็นเรื่องถึงขั้นฟ้องร้องตั้งแต่เรียกค่าเสียหายเรื่อยไปจนถึง การฟ้องหย่ากันในที่สุด ข้อมูลที่ถูกนำมาใช้มีตั้งแต่ ภาพใน Facebookทั้งของเจ้าตัว และของชายชู้หรือเมียน้อย ในบางกรณี ผู้เป็นสามีอาจบล็อกภรรยาจากการเข้าถึงหน้าFacebookของตนเอง แต่กลับไม่มีการบล็อก Facebook ของผู้เป็นเมียน้อย หรือในบางกรณี ลูกๆ ที่ถูกขอให้จัดการบล็อกหน้า Facebook ให้ก็กลายเป็นพยานชั้นหนึ่งสำหรับการฟ้อง หย่า นอกจากนั้นแล้ว ภาพและข้อมูลใน Facebook ยังนิยมนำมาใช้ในคดีเกี่ยวกับการอ้างสิทธิ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐอเมริกานั้นเป็นตัวอย่างของการที่ อิทธิพลของFacebook ทำให้เกิดปัญหาสังคม ในประเทศไทยเองก็เริ่มที่จะมีปัญหาในลักษณะเดียวกับในประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างในข่าว ผัวยิงเมียเสียชีวิต เพราะ Facebook เป็นเหตุ ผัวหึงโหดเห็นเมียนั่งแชทหน้าคอมฯ กับชายอื่น ระแวงกลัวเมียปันใจ ย่องเข้าบ้านแม่ยายขโมยปืนยิงหัวดับทั้งคู่

          ซึ่งในปัจจุบัน Facebookเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในประเทศมากยิ่งขึ้นอย่างเช่นในข่าว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ติดใจกรณีที่ มาร์ค V11 นายวิทวัส ท้าวคำลือ ผู้สมัคร เข้าแข่งขันรายการอะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ที่วิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง ผ่านทางเครือข่ายออนไลน์ Facebook โดยเห็นว่า การถูกวิพากษ์วิจารณ์นั้น เป็นเรื่องที่ปกติ แต่หากมีการใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม ก็เห็นว่า เป็นการไม่สมควร ทั้งนี้หากเจ้าตัวกลับไปคิดและรู้สึกตัวแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งไม่จำเป็นต้องเข้ามา ซึ่งปัญหาดังกล่าวสิ่งที่นายวิทวัส ท้าวคำลือได้มีการลงข้อความบนกระดาษFacebookของตนองตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม โดยไม่ได้คิดว่าจะมีผลกับตนเองอย่างที่เกิดขึ้น เพราะการลงภาพหรือข้อความต่างๆลงบนFacebookนั้นไม่ได้มีความเป็นส่วนตัวเพราะคนที่เป็นเพื่อนของคุณทั้งหมดสามารถอ่านข้อความต่างๆที่คุณได้ลงเอาไว้บนกระดานของตัวคุณเองรวมไปถึงรูปภาพต่างๆ

           รูปภาพที่มีการนำลงไปในFacebookของแต่ละคนบางภาพอาจจะเป็นภาพที่ไม่เหมาะสม แต่การนำเอาไปลงบนFacebookแล้วนั้นเป็นเผยแพร่ไปสู่คนจำนวนมาก บางครั้งภาพของผู้หญิงที่ดูไม่เหมาะสมอย่างเช่นการถ่ายภาพตนเองกำลังเมาสุรา ภาพของตนเองกับบุคคลอื่นในเชิงชู้สาว ภาพของตนเองนุ่งน้อยห่มน้อย ภาพที่ลงบนFacebookอาจจะกลับมาทำร้ายคุณอย่างที่ มาร์ค V11 นายวิทวัส ท้าวคำลือ ประสบอยู่ก็เป็นไปได้

           ในช่วงที่ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งในช่วงเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมานั้น Facebook เป็นช่องทางในการสื่อสารที่ทำให้เกิดกระแสในความเข้าใจผิดในเรื่องของข่าวต่างๆไม่ว่าจะเป็นข่าวของฝ่ายใด เพราะมีการบอกต่อกันอย่างรวดเร็วในFacebookว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไหนอย่างไร ข่าวที่เห็นบนFacebookถ้าไม่มีlinkของสำนักข่าวที่เชื่อถือได้ ข่าวนั้นก็ไม่น่าเชื่อถือแต่คนทั่วไปนั้นไม่ได้สนใจหลงเชื่อไปกับทุกข่าวที่มีอยู่บนFacebookซึ่งข่าวที่อยู่บนFacebookนั้นแตกต่างกับข่าวของสำนักข่าวต่างๆเพราะทุกสำนักข่าวนั้นจะมีกองบรรณาธิการหรือผู้กรองข่าว(Gatekeeper)แต่ข่าวที่อยู่บนFacebookไม่มีการกรองข่าว ถ้าผู้ใช้งานไม่มีการเช็คข่าวสารก่อนว่าเป็นความจริงหรือไม่ก็จะปักใจหลงเชื่อในข่าวนั้นๆ

           มีการรวมตัวของกลุ่มต่างๆอย่างมากมาย เช่น กลุ่มมั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้าน ต่อต้านการยุบสภา กลุ่มอาสาสมัครฟื้นฟูประเทศไทย กลุ่มWatch Red Shirt ศูนย์ปฏิบัติการติดตามผู้ชุมนุมเสื้อแดง ซึ่งกลุ่มต่างๆที่ว่ามามีสมาชิกไม่น้อยกว่าหมื่นคน หรือแม้แต่การวมตัวของกลุ่มคนที่ชื่นชอบนักการเมือง อย่างเช่นของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่มีผู้เข้าร่วมถึงสี่แสนคน การรับเข้าร่วมในกลุ่มต่างๆนั้น ผู้ใช้งานส่วนใหญ่เข้าไปเป็นสมาชิกในกลุ่มต่างๆ โดยไม่ได้คิดอะไร แต่ผู้ก่อตั้งกลุ่มนั้นๆก็ใช้ประโยชน์จากการที่มีผู้เข้าร่วมกลุ่ม โดยอ้างถึงว่าภายในกลุ่มนั้นมีผู้สนับสนุนเป็นจำนวนมาก ทุกคนควรจะรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มนั้น โดยที่ผู้เข้าร่วมในกลุ่มไม่ทราบว่ามีการกล่าวอ้างถึงกลุ่มที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่

           Facebook ก็เหมือนกันกับสิ่งอื่นที่เปรียบได้กับเหรียญที่มีอยู่สองด้าน ทั้งด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดี อยู่ที่การนำมาใช้ของบุคคลนั้น ในด้านที่ดีนั้นตัวผมเองได้เปิด กลุ่ม COM ART BSRU ขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างอาจารย์ผู้สอน นิสิต นักศึกษา เพื่อเป็นกลุ่มแห่งการเรียนรู้ ทางด้านนิเทศศาสตร์ มีการนำเอาผลงานของนักศึกษามาลงบนFacebook การทำมิวสิควีดีโอ การทำหนังสั้น เพื่อให้นักศึกษาได้มาแบ่งบันความคิดเห็น ให้นักศึกษาใหม่ได้เรียนรู้จากงานของรุ่นพี่ มีการให้คำปรึกษากับนักศึกษาโดยอาจารย์ผู้สอนจะมาตอบทุกคำถาม มีการนำเอางานประกวดที่เกี่ยวข้องมาชักชวนให้นักศึกษาเข้าร่วมงานประกวด เป็นพื้นที่ให้กับนักศึกษาได้มาพบเจอรุ่นพี่ รุ่นน้องเพื่อแนะนำเกี่ยวกับการเรียน กิจกรรม เทคนิคในการทำงานด้านนิเทศศาสตร์ มีการให้นักศึกษาส่งงานผ่านFacebook เนื่องจากนักศึกษาส่วนใหญ่มีFacebook กันอยู่แล้ว ตัวผู้สอนเองควรนำเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่มีอยู่มาพัฒนาในการเรียนการสอนให้เพิ่มมากขึ้น

           สุดท้ายแล้ว Facebook ก็ยังอยู่กับสังคมต่อไป และยังคงอิทธิพลกับสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น แต่ปัญหาทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นถ้าผู้ใช้งานFacebookมีความคิดยับยั้งชั่งใจในการกระทำใดๆกับFacebook อย่างที่ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กล่าวว่า เวลานี้ อยากให้คนไทยใช้สติกันให้มาก เพราะสิ่งที่สังคมไทยขาดไม่ใช่ความรู้ หรือเงินทอง แต่สิ่งที่ขาดอย่างยิ่งคือสติ ความยับยั้งชั่งใจ ความมีเหตุมีผล ดังนั้น คุณธรรมที่จำเป็นที่สุดคืออยากให้คนไทยเจริญสติให้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้รู้ว่าควรคิด พูด และแสดงออกอย่างถูกต้องพระมหาวุฒิชัย ยังแนะวิธีปฏิบัติเพื่อให้มีสติสำหรับประชาชนทั่วไป ว่า ควรยึดหลัก 3 ประการ คือ    
  1.เสพสื่อหลายช่องทาง เพื่อสร้างความยับยั้งชั่งใจและใช้ปัญญารอบด้าน จะได้ไม่ตกเป็นทาสขยะข้อมูล ปฏิกูลข่าวสาร หรือโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ    
   2. เมื่อติดตามข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ แล้วต้องสังเกตตัวเองว่าตกไปสู่อารมณ์โกรธ เกลียด อาฆาตพยาบาท ฟุ้งซ่านจนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงหรือไม่ และ
   3. เวลาแสดงออกทางสังคม ถ้าเป็นไปในทางที่สันติก็ถูกต้อง แต่หากเป็นไปในทิศทางที่เบียดเบียนคนอื่นแสดงว่าเป็นความผิดพลาดขาดสติ


ขอขอบคุณ
http://174.120.83.155/~spring/news_view.php?gid=1&id=710

http://www.microbrand.co/social-network-คืออะไร-ใช้งานอย่างไร/