วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

week 3: Social Network เกี่ยวข้องกับเรา และสังคมอย่างไร

       สวัสดีค่าา 🙏 กลับมาพบกันอีกแล้วนะคะ วันนี้คิมจะมาพูดถึงหัวข้อ Social Network เกี่ยวข้องกับเรา และสังคมอย่างไร แต่ก่อนอื่นเราไปรู้ความหมายของ Social Network กันก่อนดีกว่าค่ะ
       
      💡Social Network คืออะไร💡
โซเชียลเน็ตเวิร์ค หรือ Social Network คือเครือข่ายสังคมออนไลน์  หรือการที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตคนหนึ่ง เชื่อมโยงกับเพื่อนอีกนับสิบ รวมไปถึงเพื่อนของเพื่อนอีกนับร้อย  ผ่านผู้ให้บริการด้านโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) บนอินเตอร์เน็ต เช่น Facebook, Blogger, Hi5, Twitter หรือ Tagged เป็นต้น (บางเว็บไซต์ที่กล่าวถึงในตัวอย่าง ปัจจุบันนี้ได้เสื่อมความนิยมแล้ว)  การเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้เกิดเครือข่ายขึ้น เช่น เราสามารถรู้จักเพื่อนของเพื่อนเราได้  เป็นทอดๆ ต่อไปเรื่อย  ทำให้เกิดสังคมเสมือนจริงขึ้นมา  สามารถสร้างคอนเน็คชั่นใหม่ๆ ได้ง่าย  และเมื่อเราแชร์ (Share) ข้อความหรืออะไรก็ตามลงไปในเครือข่าย  ทุกคนในเครือข่ายก็สามารถรับรู้ได้พร้อมกัน  และสามารถตอบสนองต่อสิ่งที่เราแชร์ได้  เช่น  แสดงความคิดเห็น (Comment)  กดไลค์ (Like) ซึ่งอาจจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละผู้ให้บริการ  ความโดดเด่นในเรื่องความง่ายของโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) ทำให้ธุรกิจ และนักการตลาดสนใจที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการประชาสัมพันธ์สินค้า และบริการ
 
     เพื่อนๆก็คงรู้แล้วใช่มั้ยคะ ว่าโซเชียลเน็ตเวิร์ค  นั้นคืออะไร ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า โซเชียลเน็ตเวิร์ค มีความเกี่ยวข้องกับเราและสังคมอย่างไร
      เนื่องจากการใช้งานอินเตอร์เนตที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายมากและการใช้งานอีเมล์ในการรับส่งข้อมูลกันอย่างแพร่หลายเพิ่มมากยิ่งขึ้นทำให้เกิดการสร้างกลุ่มของคนที่สนใจในเรื่องๆเดียวกันได้เริ่มมีการสร้างเวปไซต์ที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะกลุ่มขึ้นมา

              ในส่วนของ Social network ได้เกิดขึ้นจากการสร้างเวปไซต์ของนักเรียนที่เรียนที่เดียวกัน หรืออาจจะเรียกง่ายๆว่าเป็นเวปไซต์ของนักเรียนรุ่นหนึ่ง ซึ่งมีเพื่อสร้างประวัติ ข้อมูล ติดต่อสื่อสาร ส่งข้อความ และแลกเปลี่ยนข้อมูลที่สนใจร่วมกันระหว่างเพื่อนในลิสต์เท่านั้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของ Social network ซึ่งจากจุดเริ่มต้นเมื่อปี1995 นั้น ทำให้เกิดการพัฒนาเวปไซต์ประเภท Social network อย่างรวดเร็ว อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เวปไซต์ประเภท Social network เติบโตอย่างรวดเร็วคือการนำเอารายชื่ออีเมล์ของบุคคลที่เราติดต่อในอีเมล์ส่วนตัวของเรานำไปค้นหาว่ามีใครใช้เวปไซต์ประเภท Social network นั้นหรือไม่ ถ้ามีก็สามารถเพิ่มเพื่อนหรือแอดเข้าไปขอเป็นเพื่อนได้อย่างง่ายดาย

            ประเทศไทยได้มีการเริ่มเข้ามาของเวปไซต์ประเภท Social network โดยทุกคนอาจจะเคยจำได้ว่า www.hi5.com เป็นเวปไซต์ประเภท Social network ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยสูงมาก ซึ่งในช่วงต้นนั้น hi5 ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่มีความรู้ภาษาอังกฤษเท่านั้นเนื่องจากในช่วงนั้นทาง hi5 มีเมนูเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น ซึ่งต่อมาhi5ได้มีการพัฒนาให้มีเมนูภาษาไทยขึ้นมา ทำให้ hi5 ได้รับความนิยมสูงมากในประเทศไทย มีผู้ใช้เป็นจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคนในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี ซึ่งในยุคนั้นทุกคนก็ให้ความสำคัญกับเวปไซต์ดังกล่าวค่อนข้างมากเพราะหลังจากการได้รับความนิยมที่สูงทำให้เกิดการนำเอา hi5 มาใช้ในการทำผิดกฏหมายในรูปแบบต่างๆ อย่างเช่นที่ปรากฏในข่าว รวบพระขอนแก่นหื่น แชท hi5 ลวงสาวข่มขืน พระหนึ่งให้การรับสารภาพว่า ได้เข้าไปเล่นอินเตอร์เน็ตในโปรแกรม hi5 ก่อนที่จะรู้จัก น.ส.น้ำ ซึ่งเป็นชาว จ.ชัยภูมิ มานานกว่า 2 สัปดาห์ จึงนัดกันมาพบที่ จ.ขอนแก่น และนำเข้าพักภายในวัดก่อนที่จะลงมือข่มขืน จนมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวจับกุมตัว ซึ่งในประเทศไทยมีความทรงจำเกี่ยวกับอิทธิพลของ Social network ที่มีชื่อว่า HI5 มาแล้วทุกคนอาจจะลืมไปแล้วว่าHI5ทำให้เกิดปัญหาในสังคมไทยอย่างมากมาย แล้วทุกคนก็มาบอกว่า Facebook กำลังจะบ่อนทำลายสังคมไทย ทั้งที่ทุกคนก็เคยมีประสบการณ์จากในอดีตมาแล้ว แต่สังคมไทยก็ไม่มีการเรียนรู้จากปัญหาที่เคยเกิดขึ้น แต่กลับมากล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่จาก Facebook

            ต่อมาหลังจากการที่กระแสของhi5เริ่มลดลงทำให้กลุ่มผู้ใช้งานเวปไซต์ดังกล่าวได้เปลี่ยนไปใช้งานเวปไซต์www.Facebook.com ซึ่งการเข้ามาของ Facebook ในประเทศไทยเมื่อปี 2006 นั้นเริ่มมีการแพร่หลายในกลุ่มของนักศึกษาที่เรียนอยู่ในต่างประเทศ และเริ่มขยายตัวเข้ามาในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่มีความรู้ภาษาอังกฤษเท่านั้นเนื่องจากในช่วงนั้นทาง Facebook มีเมนูเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ความแตกต่างที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ Facebook มีแอปพิเคชั่นที่หลากหลายมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ hi5 ซึ่ง แอปพิเคชั่นที่หลากหลายอาทิเช่นเกมที่มีให้เลือกเล่นมากกว่า หนึ่งร้อยเกม ซึ่งในปัจจุบันเกมที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็น Framville ที่สมาชิกของFacebookเรียกกันเป็นภาษาไทยว่า เกมปลูกผัก หรือเกม Café world ที่ได้รับความนิยมสูงมาก ในส่วนของแอปพิเคชั่นที่มีชื่อว่า friend for sale ที่สามารถซื้อเพื่อนของตนเองมาไว้กับตนเองและสามารถสั่งให้ไปทำงานตามที่สั่งได้อย่างเช่นสั่งให้ไปล้างห้องน้ำ ให้ไปแกล้งบุคคลอื่น ยังไม่รวมไปถึงการสนทนาส่วนตัวใน Facebook ที่มีการแชทกันได้ใน Facebook

           Facebook เป็นเว็บไซต์เครือข่ายสังคมเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2004 และ Facebook ก่อตั้งโดย Mark Zuckerberg ผู้ใช้สามารถเพิ่มคนเป็นเพื่อนและส่งข้อความและ update โปรไฟล์ส่วนตัวของพวกเขาเพื่อแจ้งเพื่อน ๆ เกี่ยวกับตัวเอง นอกจากนี้ผู้ใช้สามารถเข้าร่วมเครือข่าย Facebook ได้พบกับการถูกบล็อกในหลายประเทศรวมทั้งปากีสถาน ซีเรีย จีน เวียดนาม และอิหร่าน Facebook ได้รับการห้ามใช้สถานที่ทำงานเพื่อเป็นการไม่ให้พนักงานสูญเสียเวลาในการทำงาน Facebook ความเป็นส่วนตัวยังเป็นปัญหาและได้รับการโจมตีหลายครั้ง ด้วยระยะเวลาเพียง 6 ปี เว็บไซต์นี้ในปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 400 ล้านทั่วโลก จากการเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ใช้งาน Facebook ทำให้เกิดปัญหากับสังคมที่มากขึ้นตามจำนวนของผู้ใช้งาน

          Facebookยังกลายเป็นที่มาของการ เกลียดชัง ทะเลาะเบาะแว้งระหว่างคู่สมรสกันบ่อยครั้งมาก และหลายๆ กรณีก็กลายเป็นเรื่องถึงขั้นฟ้องร้องตั้งแต่เรียกค่าเสียหายเรื่อยไปจนถึง การฟ้องหย่ากันในที่สุด ข้อมูลที่ถูกนำมาใช้มีตั้งแต่ ภาพใน Facebookทั้งของเจ้าตัว และของชายชู้หรือเมียน้อย ในบางกรณี ผู้เป็นสามีอาจบล็อกภรรยาจากการเข้าถึงหน้าFacebookของตนเอง แต่กลับไม่มีการบล็อก Facebook ของผู้เป็นเมียน้อย หรือในบางกรณี ลูกๆ ที่ถูกขอให้จัดการบล็อกหน้า Facebook ให้ก็กลายเป็นพยานชั้นหนึ่งสำหรับการฟ้อง หย่า นอกจากนั้นแล้ว ภาพและข้อมูลใน Facebook ยังนิยมนำมาใช้ในคดีเกี่ยวกับการอ้างสิทธิ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐอเมริกานั้นเป็นตัวอย่างของการที่ อิทธิพลของFacebook ทำให้เกิดปัญหาสังคม ในประเทศไทยเองก็เริ่มที่จะมีปัญหาในลักษณะเดียวกับในประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างในข่าว ผัวยิงเมียเสียชีวิต เพราะ Facebook เป็นเหตุ ผัวหึงโหดเห็นเมียนั่งแชทหน้าคอมฯ กับชายอื่น ระแวงกลัวเมียปันใจ ย่องเข้าบ้านแม่ยายขโมยปืนยิงหัวดับทั้งคู่

          ซึ่งในปัจจุบัน Facebookเริ่มเข้ามามีอิทธิพลในประเทศมากยิ่งขึ้นอย่างเช่นในข่าว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ติดใจกรณีที่ มาร์ค V11 นายวิทวัส ท้าวคำลือ ผู้สมัคร เข้าแข่งขันรายการอะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ที่วิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง ผ่านทางเครือข่ายออนไลน์ Facebook โดยเห็นว่า การถูกวิพากษ์วิจารณ์นั้น เป็นเรื่องที่ปกติ แต่หากมีการใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม ก็เห็นว่า เป็นการไม่สมควร ทั้งนี้หากเจ้าตัวกลับไปคิดและรู้สึกตัวแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ดี ซึ่งไม่จำเป็นต้องเข้ามา ซึ่งปัญหาดังกล่าวสิ่งที่นายวิทวัส ท้าวคำลือได้มีการลงข้อความบนกระดาษFacebookของตนองตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคม โดยไม่ได้คิดว่าจะมีผลกับตนเองอย่างที่เกิดขึ้น เพราะการลงภาพหรือข้อความต่างๆลงบนFacebookนั้นไม่ได้มีความเป็นส่วนตัวเพราะคนที่เป็นเพื่อนของคุณทั้งหมดสามารถอ่านข้อความต่างๆที่คุณได้ลงเอาไว้บนกระดานของตัวคุณเองรวมไปถึงรูปภาพต่างๆ

           รูปภาพที่มีการนำลงไปในFacebookของแต่ละคนบางภาพอาจจะเป็นภาพที่ไม่เหมาะสม แต่การนำเอาไปลงบนFacebookแล้วนั้นเป็นเผยแพร่ไปสู่คนจำนวนมาก บางครั้งภาพของผู้หญิงที่ดูไม่เหมาะสมอย่างเช่นการถ่ายภาพตนเองกำลังเมาสุรา ภาพของตนเองกับบุคคลอื่นในเชิงชู้สาว ภาพของตนเองนุ่งน้อยห่มน้อย ภาพที่ลงบนFacebookอาจจะกลับมาทำร้ายคุณอย่างที่ มาร์ค V11 นายวิทวัส ท้าวคำลือ ประสบอยู่ก็เป็นไปได้

           ในช่วงที่ประเทศไทยเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งในช่วงเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมานั้น Facebook เป็นช่องทางในการสื่อสารที่ทำให้เกิดกระแสในความเข้าใจผิดในเรื่องของข่าวต่างๆไม่ว่าจะเป็นข่าวของฝ่ายใด เพราะมีการบอกต่อกันอย่างรวดเร็วในFacebookว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไหนอย่างไร ข่าวที่เห็นบนFacebookถ้าไม่มีlinkของสำนักข่าวที่เชื่อถือได้ ข่าวนั้นก็ไม่น่าเชื่อถือแต่คนทั่วไปนั้นไม่ได้สนใจหลงเชื่อไปกับทุกข่าวที่มีอยู่บนFacebookซึ่งข่าวที่อยู่บนFacebookนั้นแตกต่างกับข่าวของสำนักข่าวต่างๆเพราะทุกสำนักข่าวนั้นจะมีกองบรรณาธิการหรือผู้กรองข่าว(Gatekeeper)แต่ข่าวที่อยู่บนFacebookไม่มีการกรองข่าว ถ้าผู้ใช้งานไม่มีการเช็คข่าวสารก่อนว่าเป็นความจริงหรือไม่ก็จะปักใจหลงเชื่อในข่าวนั้นๆ

           มีการรวมตัวของกลุ่มต่างๆอย่างมากมาย เช่น กลุ่มมั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้าน ต่อต้านการยุบสภา กลุ่มอาสาสมัครฟื้นฟูประเทศไทย กลุ่มWatch Red Shirt ศูนย์ปฏิบัติการติดตามผู้ชุมนุมเสื้อแดง ซึ่งกลุ่มต่างๆที่ว่ามามีสมาชิกไม่น้อยกว่าหมื่นคน หรือแม้แต่การวมตัวของกลุ่มคนที่ชื่นชอบนักการเมือง อย่างเช่นของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีที่มีผู้เข้าร่วมถึงสี่แสนคน การรับเข้าร่วมในกลุ่มต่างๆนั้น ผู้ใช้งานส่วนใหญ่เข้าไปเป็นสมาชิกในกลุ่มต่างๆ โดยไม่ได้คิดอะไร แต่ผู้ก่อตั้งกลุ่มนั้นๆก็ใช้ประโยชน์จากการที่มีผู้เข้าร่วมกลุ่ม โดยอ้างถึงว่าภายในกลุ่มนั้นมีผู้สนับสนุนเป็นจำนวนมาก ทุกคนควรจะรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มนั้น โดยที่ผู้เข้าร่วมในกลุ่มไม่ทราบว่ามีการกล่าวอ้างถึงกลุ่มที่ตนเองเป็นสมาชิกอยู่

           Facebook ก็เหมือนกันกับสิ่งอื่นที่เปรียบได้กับเหรียญที่มีอยู่สองด้าน ทั้งด้านที่ดีและด้านที่ไม่ดี อยู่ที่การนำมาใช้ของบุคคลนั้น ในด้านที่ดีนั้นตัวผมเองได้เปิด กลุ่ม COM ART BSRU ขึ้นมาเพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างอาจารย์ผู้สอน นิสิต นักศึกษา เพื่อเป็นกลุ่มแห่งการเรียนรู้ ทางด้านนิเทศศาสตร์ มีการนำเอาผลงานของนักศึกษามาลงบนFacebook การทำมิวสิควีดีโอ การทำหนังสั้น เพื่อให้นักศึกษาได้มาแบ่งบันความคิดเห็น ให้นักศึกษาใหม่ได้เรียนรู้จากงานของรุ่นพี่ มีการให้คำปรึกษากับนักศึกษาโดยอาจารย์ผู้สอนจะมาตอบทุกคำถาม มีการนำเอางานประกวดที่เกี่ยวข้องมาชักชวนให้นักศึกษาเข้าร่วมงานประกวด เป็นพื้นที่ให้กับนักศึกษาได้มาพบเจอรุ่นพี่ รุ่นน้องเพื่อแนะนำเกี่ยวกับการเรียน กิจกรรม เทคนิคในการทำงานด้านนิเทศศาสตร์ มีการให้นักศึกษาส่งงานผ่านFacebook เนื่องจากนักศึกษาส่วนใหญ่มีFacebook กันอยู่แล้ว ตัวผู้สอนเองควรนำเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่มีอยู่มาพัฒนาในการเรียนการสอนให้เพิ่มมากขึ้น

           สุดท้ายแล้ว Facebook ก็ยังอยู่กับสังคมต่อไป และยังคงอิทธิพลกับสังคมไทยเพิ่มมากขึ้น แต่ปัญหาทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นถ้าผู้ใช้งานFacebookมีความคิดยับยั้งชั่งใจในการกระทำใดๆกับFacebook อย่างที่ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กล่าวว่า เวลานี้ อยากให้คนไทยใช้สติกันให้มาก เพราะสิ่งที่สังคมไทยขาดไม่ใช่ความรู้ หรือเงินทอง แต่สิ่งที่ขาดอย่างยิ่งคือสติ ความยับยั้งชั่งใจ ความมีเหตุมีผล ดังนั้น คุณธรรมที่จำเป็นที่สุดคืออยากให้คนไทยเจริญสติให้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้รู้ว่าควรคิด พูด และแสดงออกอย่างถูกต้องพระมหาวุฒิชัย ยังแนะวิธีปฏิบัติเพื่อให้มีสติสำหรับประชาชนทั่วไป ว่า ควรยึดหลัก 3 ประการ คือ    
  1.เสพสื่อหลายช่องทาง เพื่อสร้างความยับยั้งชั่งใจและใช้ปัญญารอบด้าน จะได้ไม่ตกเป็นทาสขยะข้อมูล ปฏิกูลข่าวสาร หรือโฆษณาชวนเชื่อต่างๆ    
   2. เมื่อติดตามข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ แล้วต้องสังเกตตัวเองว่าตกไปสู่อารมณ์โกรธ เกลียด อาฆาตพยาบาท ฟุ้งซ่านจนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงหรือไม่ และ
   3. เวลาแสดงออกทางสังคม ถ้าเป็นไปในทางที่สันติก็ถูกต้อง แต่หากเป็นไปในทิศทางที่เบียดเบียนคนอื่นแสดงว่าเป็นความผิดพลาดขาดสติ


ขอขอบคุณ
http://174.120.83.155/~spring/news_view.php?gid=1&id=710

http://www.microbrand.co/social-network-คืออะไร-ใช้งานอย่างไร/

1 ความคิดเห็น:

  1. เข้าใจง่าย หยิบเรื่องใกล้ตัวมาพูดด้วย ดีค่า

    ตอบลบ